จากข้อมูลทางโภชนาการแล้วก็สุขภาพ เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่า การบริโภคน้ำตาล ที่มากเกินความพอดี นอกเหนือจากนำไปสู่ปัญหาโรคอ้วนและก็โรคฟันผุ แล้วการกินน้ำตาลมากมายๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายหลายประการ โดยน้ำตาลซุโดรสหรือฟรุกโตส จะมีผลให้ระดับไขมัน เดกซ์โทรสอินยกลินและก็กรดยูริกในเลือดสูงมากขึ้น เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ส่งผลให้มีการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดแล้วก็เบาหวาน
ชาวไทยมีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนด ซึ่งจำนวนน้ำตาลที่บริโภคเกินความยาก เมื่อใช้ไม่หมดจะเป็นพลังงานส่วนเกิน รวมทั้งเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเก็บสะสมภายในร่างกาย อันเป็นที่มาของ”ภาวะอ้วน” ซึ่งเป็นตัวกระบวนการทำให้กำเนิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะความดันโลหิตสูง แล้วก็ไขมันตันในเส้นโลหิต คนที่ชอบกินหวานจัดเป็นประจำ จะมีผลให้ระบบความสมดุลภายในร่างกายเสีย ส่งผลต่อระบบภูมิต้านทานโรคภายในร่างกายลดลดลง ผลกฎว่าก็คือ ทำให้ติดโรคง่าย นอกเหนือจากนั้น การเผาน้ำตาลภายในร่างกายเป็นประจำยังเป็นตัวรีบให้กำเนิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นระยะเวลาที่ยาวนานจะมีผลให้ระดับไขมันตรีกลีเชอไรด์ในเลือดสูง ทั้งยังการกินน้ำตาลซูโครสมากมาย ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเชื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ชึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
กลไกของร่างกายเมื่อได้รับน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เลือดมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะที่ไม่สมดุลจึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล ร่างกายจะพยายามที่จะรักษาสมดุลเอาไว้โดยการที่เร่งตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอินชูลินเพื่อที่จะได้เปลี่ยนระดับน้ำตาลให้กลายเป็นไกลโคเจนและไขมัน เพื่อให้ร่างกายได้ใช้เวลาที่ร่างกายต้องการ แต่การที่ตับอ่อนต้องทำงานหนักเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้ตับอ่อนล้าหรือเกิดภาวะดื้อต่ออินชูลินได้และผลที่ตามมาก็คือการเกิดโรคเบาหวาน