โรคเกาต์ Gout เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบในผู้ชายปกติ และผู้ชายที่อ้วน มากกว่าผู้หญิงปกติและผู้หญิงอ้วน โดยทั่วไปโรคนี้มักจะพบในผู้ชายที่มีน้ำหนักปกติ และอายุประมาณ 30 กว่าขึ้นไป ส่วนผู้หญิงนั้นอาจพบหลังวัยหมดประจำเดือน โรคเกาต์เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ แต่ถ้าหากปล่อยไว้นานไม่รีบรักษาอาจจะเป็นอันตรายร้ายแรงได้
โรคเกาต์เกิดจากร่างกายมีกรดยูริก (Uric Acid) มากเกินไปซึ่ง กรดยูริกนี้มาจากการที่คนอ้วนชอบรับประทาน เนื้อสัตว์ที่มีไขมัน เครื่องในสัตว์ มากเกินไป ทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญช้า และทำให้ร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมาก และไตขับเอากรดยูริกออกจากร่างกายได้น้อย ทำให้มีกรดยูริกอยู่ในร่างกายมากกว่าปกติ จึงตกผลึกสะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไต และอวัยวะอื่น จึงทำให้เกิดอาการปวดตามข้อต่างๆ
ผู้ป่วยโรคเกาต์ จะมีอาการปวดบริเวณ นิ้วเท้า ปวดตามข้อต่างๆ จะมีอาการบวมแดง ตึง ร้อน ปวดตอนกลางคืน มีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น เบื่ออาหาร ปวดทุกๆปีตรงจุดเดิมๆ ปวดทุก 4-6 เดือน ตามจุดเดิม จนกระทั่งปวดทุกเดือน เดือนละหลายครั้ง เมื่ออาการเริ่มทุเลา บริเวณนั้นจะลอกและแดงมีอาการคัน ข้อที่อักเสบบ่อย ที่เกิดจากโรคเกาต์ เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (Tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของกรดยูริก เมื่อปุ่มก้อนนี้โตขึ้นเรื่อยๆ จะแตกออกมีสารสีขาวคล้ายยาสีฟันไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง ในที่สุดข้อต่างๆก็จะใช้งานไม่ได้
การรักษา
ทานยาเพื่อบรรเทาอาการปวดนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ ใช้น้ำร้อนประคบข้อที่ปวด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เครื่องในสัตว์เพราะอาจกระตุ้นให้อาการกำเริบ งดเครื่องดื่มประเภทนม โกโก้ เหล้า ชา กาแฟ ทานผักใบเขียว และควรลดน้ำหนัก แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ เพื่อเจาะเลือดหาระดับปริมาณของกรดยูริกในร่างกาย เพื่อรักษาอาการปวดจากโรคเกาต์ต่อไป