โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติในการผลิตหรือการใช้ฮอร์โมนอินซูลินของร่างกาย ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ตามข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2021 มีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลกประมาณ 537 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 783 ล้านคนในปี 2045

สำหรับประเทศไทย สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย รายงานว่า มีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 4.8 ล้านคน คิดเป็น 7.2% ของประชากรไทย

ประเภทของโรคเบาหวาน

1. เบาหวานชนิดที่ 1

เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ มักพบในเด็กและวัยรุ่น

2. เบาหวานชนิดที่ 2

เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด (90-95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด) เกิดจากร่างกายดื้อต่ออินซูลินหรือผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ

3. เบาหวานขณะตั้งครรภ์

เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ และมักหายไปหลังคลอด แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

  • พันธุกรรม: มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
  • น้ำหนักเกินและโรคอ้วน: ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) รายงานว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเบาหวานชนิดที่ 2
  • การขาดการออกกำลังกาย: เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะดื้ออินซูลิน
  • อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากกว่า 45 ปี

อาการและสัญญาณเตือน

อาการทั่วไปของโรคเบาหวาน ได้แก่:

  • ปัสสาวะบ่อยและมาก
  • กระหายน้ำมากผิดปกติ
  • หิวบ่อย
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อ่อนเพลีย
  • ตาพร่ามัว

เบาหวานชนิดที่ 1 มักมีอาการเฉียบพลันและรุนแรง ในขณะที่เบาหวานชนิดที่ 2 อาจมีอาการค่อยเป็นค่อยไปและไม่ชัดเจน

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยโรคเบาหวานทำได้โดย:

  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: ตรวจเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง
  • การทดสอบความทนต่อกลูโคส (GTT): ตรวจระดับน้ำตาลหลังดื่มน้ำตาล 75 กรัม
  • การตรวจ HbA1c: บ่งบอกระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

ตามเกณฑ์ของ สมาคมโรคเบาหวานอเมริกัน (ADA) การวินิจฉัยเบาหวานทำได้เมื่อ:

  • ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร ≥ 126 mg/dL
  • ระดับน้ำตาลหลังทำ GTT ≥ 200 mg/dL
  • HbA1c ≥ 6.5%

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคเบาหวาน ได้แก่:

  • ภาวะแทรกซ้อนทางตา: เช่น จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก
  • โรคไตจากเบาหวาน: อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง
  • ปลายประสาทเสื่อม: ทำให้สูญเสียความรู้สึกที่เท้า เสี่ยงต่อการเกิดแผลที่เท้า

การรักษาโรคเบาหวาน

การรักษาโรคเบาหวานประกอบด้วย:

  • การควบคุมอาหาร: รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ ควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรต
  • การออกกำลังกาย: ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มความไวต่ออินซูลิน
  • การใช้ยาเบาหวาน: เช่น Metformin, Sulfonylureas
  • การฉีดอินซูลิน: จำเป็นสำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 และบางรายของชนิดที่ 2
  • การติดตามระดับน้ำตาลด้วยตนเอง: ใช้เครื่องตรวจน้ำตาลในเลือดที่บ้าน

การป้องกันโรคเบาหวาน

การป้องกันโรคเบาหวาน โดยเฉพาะชนิดที่ 2 สามารถทำได้โดย:

  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนไขมันต่ำ
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ: ลดน้ำหนักหากอยู่ในเกณฑ์อ้วน
  • การตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อค้นหาภาวะเสี่ยงต่อเบาหวานแต่เนิ่นๆ

นวัตกรรมในการรักษาเบาหวาน

นวัตกรรมล่าสุดในการรักษาเบาหวาน ได้แก่:

  • เทคโนโลยีการติดตามระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM): ให้ข้อมูลระดับน้ำตาลตลอด 24 ชั่วโมง
  • ปั๊มอินซูลินอัตโนมัติ: ปรับการให้อินซูลินตามระดับน้ำตาลแบบอัตโนมัติ
  • การรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด: อยู่ในขั้นตอนการวิจัยเพื่อฟื้นฟูการทำงานของเซลล์ตับอ่อน

เบาหวานกับการใช้ชีวิตประจำวัน

การจัดการโรคเบาหวานในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วย:

  • การจัดการความเครียด: ความเครียดสามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  • การเดินทางกับโรคเบาหวาน: วางแผนการรับประทานยาและอาหารล่วงหน้า
  • การทำงานและโรคเบาหวาน: แจ้งนายจ้างและเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับภาวะของคุณ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน

เบาหวานรักษาให้หายขาดได้หรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาเบาหวานให้หายขาด แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาที่เหมาะสม

ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานผลไม้ได้หรือไม่?

ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานผลไม้ได้ แต่ควรเลือกผลไม้ที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำและควบคุมปริมาณ

Shares: