คุณเคยรู้สึกปวดท้อง จุกเสียด หรือแสบร้อนบริเวณกระเพาะอาหารหลังจากวันทำงานที่เครียดหรือไม่? หากใช่ คุณอาจกำลังเผชิญกับภาวะ “เครียดลงกระเพาะ” โรคยอดฮิตที่พบบ่อยในคนทำงาน บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคนี้อย่างละเอียด
โรคกระเพาะคืออะไร?
โรคกระเพาะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก:
- กลุ่มที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
- กลุ่มที่ไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร
ภาวะเครียดลงกระเพาะส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มที่ไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร
อาการของภาวะเครียดลงกระเพาะ
อาการที่พบบ่อยได้แก่:
- ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่
- รู้สึกจุกเสียด
- แน่นท้อง
- แสบร้อนบริเวณกระเพาะอาหาร
อาการมักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหาร แต่ก็สามารถเกิดขึ้นระหว่างมื้ออาหารได้เช่นกัน ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและเป็นๆ หายๆ มีเพียงส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรง
หมายเหตุ: อาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือแสบร้อนที่ยอดอก อาจเป็นผลจากโรคร่วมอื่นๆ เช่น โรคลำไส้แปรปรวนหรือโรคกรดไหลย้อน
การรักษาภาวะเครียดลงกระเพาะ
หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ แพทย์มักจะแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ดังนี้:
- รับประทานอาหารให้ตรงเวลา: ควรรับประทานอาหารเวลาเดิมทุกวัน
- เลือกชนิดของอาหาร:
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เพราะอาจทำให้เกิดอาการแสบหรือปวดท้อง
- ลดการรับประทานอาหารมัน เพราะอาจทำให้เกิดอาการจุกแน่นท้อง
- หลีกเลี่ยงยาบางชนิด: เช่น ยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพรินและกลุ่ม NSAIDs
นอกจากนี้ การดูแลสุขภาพทั่วไปก็มีความสำคัญ:
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- จัดการความเครียด
หากปฏิบัติตามคำแนะนำเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมและรับการรักษาที่เหมาะสม
การพยากรณ์โรค
ผลการรักษาในผู้ป่วยโรคกระเพาะมีดังนี้:
- 50% ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
- 30% ของผู้ป่วยมีอาการเป็นๆ หายๆ
- 20% ของผู้ป่วยมีอาการต่อเนื่อง
สัญญาณอันตรายที่ควรระวัง
หากคุณพบอาการต่อไปนี้ ควรพบแพทย์โดยด่วน:
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- รับประทานอาหารได้น้อยลงหรืออิ่มเร็วผิดปกติ
- ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
- คลื่นไส้อาเจียนเรื้อรัง
อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนหรือโรคอื่นๆ ที่ร้ายแรงกว่า
สรุป
ภาวะเครียดลงกระเพาะเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนทำงาน แม้จะไม่ร้ายแรงในหลายกรณี แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การจัดการความเครียด และการดูแลสุขภาพโดยรวมสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
แหล่งข้อมูล: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล