โรคกระดูกพรุนในระยะแรกจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นชัดเจน อาการจะเริ่มเกิดขึ้นชัดเจนเมื่อโรคได้ดำเนินไปมากแล้ว และอาการสำคัญที่สุดที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์คือ กระดูกหัก ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวหรือหลังจากการกระแทกเพียงเล็กน้อยหรือเกิดซ้ำหลายครั้ง ตำแหน่งที่เกิดกระดูกหักจะพบได้ทุกที่ในร่างกายและจะแตกต่างกันไปตามอายุ แต่จุดที่พบได้บ่อยคือ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพกและกระดูกข้อมือ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มักจะมีกระดูกบางมากที่สุด
สำหรับอาการทั่วไปที่มักพบคือ ปวดกระดูกโดยเฉพาะกระดูกสันหลังอาการปวดจะเป็นๆหายๆไม่มีตำแหน่งชัดเจนและไม่มีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงบางครั้งอาจจะปวดอย่างรุนแรง ต่อมาเมื่อกระดูกสันหลังเริ่มทรุดจะพบความผิดปกติของร่างกายเกิดขึ้น เช่น กระดูกสันหลังคดโค้งงอมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับตัวเตี้ยลงทุก ๆ ปี
การป้องกันและรักษา
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุนเป็นวิธีที่ดีที่สุด ซึ่งทำได้โดยการสะสมเนื้อกระดูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งหากพ้นวัยนี้ไปแล้วร่างกายจะไม่สามารถสะสมเนื้อกระดูกให้เพิ่มได้อีก เนื่องจากกระบวนการสลายมีมากกว่าการสร้างจึงทำได้แต่เพียงการรักษาเนื้อกระดูกที่มีอยู่ไม่ให้ลดไปจากเดิม โดยมีหลักในการป้องกันและรักษาอย่างเดียวกันคือ
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และมีปริมาณแคลเซียมที่มากเพียงพอ อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งฝอย ผักใบเขียว เป็นต้น
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน เป็นต้น ซึ่งจะทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้นรวมทั้งช่วยพยุงความหนาแน่นของเนื้อกระดูกเอาไว้
3. หลีกเลี่ยงการบริโภคสิ่งที่ชักนำให้เกิดโรคกระดูกพรุน เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม อาหารเค็มจัด สูบบุหรี่ เป็นต้น ป้องกันการหกล้ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุเพราะความสามารถในการทรงตัวลดลง จึงควรจัดสิ่งแวดล้อมในบ้านไม่ให้เสี่ยงต่อการล้ม เช่น พื้นที่ไม่ลื่น ไม่มีสิ่งของวางเกะกะ
4. การใช้ยาป้องกันและรักษา ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาใช้ยาตามความเหมาะสม
การรักษาโรคกระดูกพรุนไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามมีวัตถุประสงค์ เพื่อลดอัตราทุพพลภาพที่เกิดจากภาวะกระดูกหัก แต่ไม่สามารถป้องกันได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การป้องกันการหกล้ม