หน้าฝนมาแล้ว…ภูมิแพ้หลบหน่อย

          ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ช่วงนี้ใครที่เป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจอาจจะต้องรับมือหนักหน่อย เพราะโรคเหล่านี้จะมาเยือนเราบ่อยในหน้าฝน สาเหตุก็เพราะช่วงฝนตก อากาศจะมีความชื้นสูง และถ้าเจออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน และบางทีก็ต้องเข้าไปอยู่ในห้องที่เปิดแอร์เย็น ๆ ก็อาจทำให้มีอาการแพ้ง่ายขึ้น  

พญ.สิริรักษ์ กาญจนธีระพงค์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยาโรงพยาบาลนวเวช จะมาให้ความรู้ว่าในช่วงหน้าฝนนี้ เราควรดูแลตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะกับเด็กเล็กซึ่งเป็นแต่ละทีอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้หลับได้นอนกันเลยทีเดียว

            ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่าโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง

1. โรคแพ้อากาศ หรือ จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis)

เกิดจากเยื่อบุโพรงจมูกมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ขนสัตว์ ละอองหญ้า เชื้อรา สารก่อระคายเคือง เช่น ฝุ่น PM2.5 ควันไฟ ธูป บุหรี่ และมลภาวะต่าง ๆ โดยเฉพาะท่อไอเสีย ซึ่งเด็ก ๆ มักจะมีอาการคัดจมูก คันจมูก จามบ่อย มีน้ำมูกใส ๆ ไอแบบคันคอ มีน้ำมูกไหลลงคอ กระแอมบ่อยๆ บางรายอาจมีอาการคันตาร่วมด้วย แต่จะไม่มีไข้ โดยอาการมักเป็น ๆ หาย ๆ ตอนเช้าหลังตื่นนอนหรือตอนค่ำก่อนเข้านอน หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดโรคไซนัสอักเสบตามมาได้

2. โรคหอบหืด (Asthma)

เกิดจากหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าปกติ เช่นเดียวกันกับการแพ้อากาศ ทำให้เกิดอาการหลอดลมหดเกร็งและบวมเนื่องจากการอักเสบ หรือเมื่อโดนฝนติดหวัด ก็อาจกระตุ้นให้หอบหืดกำเริบได้เช่นกัน ซึ่งเด็ก ๆ มักมีอาการไอเหนื่อย ไอเวลาวิ่งเล่นออกกำลังกาย โดยเฉพาะไอตอนกลางคืน แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวกหายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี้ด ๆ อาการหอบเหนื่อยอาจเป็น ๆ หาย ๆ และเรื้อรังได้

3. โรคหลอดลมฝอยอักเสบ หรือ หลอดลมไว (Bronchiolitis) มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี

เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการอักเสบบริเวณหลอดลมฝอย ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะ RSV (Respiratory syncytial virus) และไวรัสอื่น ๆ เช่น Influenza  Parainfluenza Adenovirus  Enterovirus และ Humanmetapneumovirus นอกจากนี้ยังเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycoplasma ได้ด้วย ซึ่งเด็ก ๆ มักจะมีอาการไข้สูง น้ำมูก ไอ คล้ายไข้หวัดนำมาก่อน 2-3 วัน จากนั้นจะมีอาการไอเหนื่อย หายใจเหนื่อยหอบ เสมหะมากขึ้น และหายใจมีเสียงผิดปกติ มีเสียงวี๊ดได้ ซึ่งเด็ก ๆ จำเป็นต้องรักษาด้วยการพ่นยาขยายหลอดลม ล้างจมูก ดูดน้ำมูกเสมหะ จนถึงบางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล

สำหรับในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่มีประวัติเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว อาจกระตุ้นให้เกิดอาการภูมิแพ้ จนถึงโรคหอบหืดได้

การหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้คือวิธีที่ดีที่สุด

เด็กไทยแพ้ไรฝุ่น แมลงสาบ และขนสัตว์ มากที่สุดตามลำดับ ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงฝุ่นทั้งนอกบ้านและในบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้พรม การมีตุ๊กตาหรือผ้าขนสัตว์ในบริเวณที่เลี้ยงเด็ก และรักษาความสะอาดของบริเวณบ้าน เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ แนะนำให้ล้างจมูกเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่มีอาการ

การดูแลสุขภาพในหน้าฝน

• ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ

• ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและความชื้นอย่างเฉียบพลัน เมื่ออากาศเย็นลงควรใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป 

• หากโดนละอองหรือตากฝน ควรรีบอาบน้ำสระผมด้วยน้ำอุ่น เช็ดตัวเช็ดผมให้แห้งโดยไว 

• กินอาหารมีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น

• หากเพิ่งเดินผ่านอากาศร้อนจัด ๆ ควรต้องยืนพักในที่ร่มก่อนจะเปลี่ยนเข้าไปในบริเวณห้องแอร์ที่มีอากาศเย็น เพื่อให้ร่างกายและจมูกปรับสภาพ จะช่วยลดอาการกำเริบของภูมิแพ้ได้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ในเด็ก สามารถขอรับคำปรึกษาจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลนวเวช โทร. 02 483 9999 หรือ www.navavej.com

Shares: