กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ

การปฏิบัติตนให้เป็นผู้ที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เราป้องกันการติดเชื้อโรคที่มีมาในอาหารและน้ำได้ โรคที่ว่าได้แก่ โรคท้องร่วง ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ คางทูม วัณโรค โปลิโอ ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น

ฉะนั้นเราเป็นผู้บริโภค ต้องมีความรู้เบื้องต้น เรื่องพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ถูกต้อง และรู้จักการป้องกันตนเองอย่างง่าย คือ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ

กินร้อน กินอย่างไร ?

  1. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ กินอาหารทันทีหลังจากปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อน
  2. ปรุงอาหารด้วยความร้อนให้สุกอย่างทั่วถึง อาหารประเภทเนื้อสัตว์ต้องใช้ความร้อนสูงอย่างน้อย 70 องศา เพื่อทำให้อาหารสุกทั่วถึงทุกส่วน ไม่ปรุงอาหารแบบสุกๆดิบๆ
  3. เก็บอาหารปรุงสุกอย่างเหมาะสม อาหารที่ปรุงสุกแล้วต้องปกปิดป้องกัน สัตว์ แมลงนำโชค และฝุ่นละออง อาหารที่เหลือจากการกิน เก็บไว้นานเกินกว่า 4 ชั่วโมง ต้องนำมาอุ่นให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนนำมากินอีกครั้ง

ช้อนกลาง สำคัญอย่างไร ?

ช้อนกลางเป็นช้อนที่มีไว้ในสำรับกับข้าวเพื่อใช้ตักแบ่งอาหารมาใส่จานของผู้กิน โดยอาจจะเป็นอุปกรณ์อื่นที่เหมาะสมกับประเภทของอาหารนั้นๆ ก็ได้ เช่น ส้อม ที่คีบ ซึ่งต้องมีการจัดวางไว้ในจานของอาหารทุกจาน

ช้อนกลาง ช่วยป้องกันโรคติดต่อผ่านทางน้ำลาย ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ คางทูม วัณโรค โปลิโอ ไวรัสตับอักเสบ ไม่ใช้แพร่กระจายระหว่างบุคคลได้ นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันน้ำลายของผู้กินไม่ให้ลงไปปนเปื้อนอาหารทำให้บูดเน่าเสียง่ายอีกด้วย ทั้งยังเป้นการสร้างพฤติกรรมอนามัยที่ถูกต้อง ให้เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามในการกินอาหารร่วมกัน

ล้างมือ ทำไมต้องล้างมือ ?

มือเป็นอวัยวะที่ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย เรามีโอกาสที่จะใช้มือสัมผัสสิ่งของรอบๆ ตัว ที่อาจปนเปื้อน น้ำมูก น้ำลายของผู้ปวย เช่น ลูกบิดประตู แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า โทรศัพท์ ราวบันได ซึ่งจะทำให้มือสกปรก และได้รับเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกายได้โดยเชื้อจะเข้าทางเยื่อบุจมูก ตาและปาก โดยรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป

ฉะนั้น จึงต้องดูแลมือให้สะอาด เพื่อไม่ให้มือเป็นสื่อนำเชื้อโรค โดยการล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ทุกครั้ง

  1. ก่อนรับประทานอาหาร
  2. ก่อนและหลังการเตรียมปรุงอาหาร
  3. หลังเข้าห้องส้วม
  4. หลังสัมผัสสิ่งสกปรก เช่น หลังการไอ จาม สั่งน้ำมูก
  5. หลังการสัมผัสสัตว์ทุกชนิด

อ้างอิง : สำนักสุขาภิบาลและน้ำ กรมอนามัย

Shares: